เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ธ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

พุทธศาสนา เห็นไหม พุทธศาสนาสอนให้เสียสละ สอนให้จาคะ การจาคะคือการเสียสละเพื่อให้ความสังคมร่มเย็นเป็นสุข องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เรียบง่าย การทำบุญกุศลให้เรียบง่ายมันเกิดจากเจตนา ถ้าเราทำด้วยความเรียบง่ายเราจะไม่มีสิ่งใดมาหลอกลวงนะ เวลาจะทำบุญกุศลกันมันต้องเป็นพิธีกรรม ถ้าผิดพิธีกรรมนี่ทำบุญแล้วจะได้บุญหรือไม่ได้บุญ มันไปคาใจไง

แต่ถ้ามีเจตนาแล้ว ความผิดพลาด ความไม่เข้าใจ ประเพณีวัฒนธรรมแต่ละพื้นถิ่นมันไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าสอนให้เรียบง่ายจากภายนอก เหมือนทางโลกให้อ่อนนอก ให้แข็งใน.. ข้างนอกนี่ให้อ่อน ให้อ่อนนอกคือว่ามีการเสียสละ การอะลุ่มอล่วยต่อกัน แต่จุดยืนสัมมาทิฏฐิความแข็งใน เห็นไหม ไม่ใช่เรียบง่ายจนไม่มีแก่นสาร คำว่าเรียบง่ายนะ สิ่งใดก็ได้แต่เรามีจุดยืนของเรา

ในสังคมปัจจุบันนี้ ในการประพฤติปฏิบัติว่าให้เรียบง่าย เรียบง่าย ดูสิ สมัยโบราณ คนเราอยู่กระต๊อบห้อมหอ มันก็ทำเรียบง่ายได้ มันใช้วัสดุธรรมชาติที่ไหนก็มีใช่ไหม เรามาทำสิ่งใดเป็นที่พักอาศัยก็ได้ แต่ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์มันเจริญ โลกมันเจริญ เห็นไหม การกระทำของเขา การกระทำของผู้ที่มีวิชาชีพ ในการกระทำของเขาเขาทำด้วยความมั่นคงแข็งแรง ตึกสูงของเขานี่เขาทำกี่ชั้นๆ ก็ได้

คำว่าเรียบง่ายต้องมีจุดยืนนะ ถ้าเรียบง่ายโดยไม่มีจุดยืน เรียบง่ายโดยไม่มีความเป็นจริงรองรับเลย ความเรียบง่ายอย่างกระต๊อบห้อมหอนี่ใครทำก็ได้ แล้วในปัจจุบันนี้ในการประพฤติปฏิบัติ เรียบง่ายๆ ไปไหนก็เรียบง่าย เรียบง่ายจนไม่มีอะไรเลยไง เรียบง่ายเหมือนกระต๊อบห้อมหอเราหยิบวัสดุธรรมชาติมาอาศัยบังแดดบังฝนก็ได้ มันเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ

แต่มันเป็นความจริงไหมล่ะ มันไม่เป็นความจริงเพราะอะไร มันไม่เป็นความจริงเพราะว่านี่พุทธศาสนาสอนกามภพ รูปภพ อรูปภพ ! วัฏวนไง นี่เราเกิดมาจากวัฏฏะ เกิดมาจากเวรจากกรรม ผลของวัฏฏะทำให้เรามานั่งกันอยู่นี้ไง เพราะเราทำดีทำชั่วมันขับเคลื่อนให้เรามาไง จิตมันไม่เคยตาย จิตมันขับเคลื่อนมาตลอดเวลา เห็นไหม แต่มันขับเคลื่อนมาให้วาระที่มาเกิดภพชาติสิ่งใด

นี่ถ้าพูดถึงภพชาติสิ่งใด สิ่งนั้นเรียบง่ายๆ ก็เรียบง่ายในภพชาตินี้ไง แล้วเวลาจิตปฏิสนธิจิตที่ไม่เคยตาย ที่อยู่ในวัฏฏะนี่มันวนเวียนไปไหน มันอยู่ของมันอยู่ที่ไหน นี่มันต้องมีจุดยืนของมัน ต้องเข้าไปหาสัจจะความจริงอันนี้ ถ้าเข้าไปหาสัจจะความจริงอันนี้ พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ไง

สิ่งที่สัมผัสศาสนา อะไรสัมผัสศาสนาได้ มันก็เรื่องหัวใจ ความรู้สึกนี่สัมผัสศาสนา เรื่องตำราวิชาการอันนี้มันเป็นจารึกมาไง มันไม่มีจิตไม่มีวิญญาณนะ มันเป็นชื่อ มันเป็นทฤษฏีที่เราได้ศึกษา เหมือนกับในปัจจุบันนี้เขาทำตึกสูงกันได้เพราะอะไร เพราะวิทยาศาสตร์มันเจริญ เขามีวิชาการของเขา วิชาการนั้นเราเอามาแปลเป็นตึกสูง เป็นสิ่งปลูกสร้างขึ้นมาได้ไหม ถ้าเราแปลไม่ได้ เห็นไหม การปลูกสร้างนะมันต้องมีความจำเป็นของมัน

ดูสิ เวลาตึกสูงของมันเขาต้องมีนั่งร้าน เขาต้องมีต่างๆ เป็นส่วนประกอบของมัน ไม่ใช่เราเห็นแต่ตึกเป็นตัวตึกไง นี่เขาสร้างตึกแล้วเขาเอาตึกมาตั้งเลย แล้วตึกมันมาจากไหนล่ะ นี่มันมาจากไหน มันก็มาจากทางวิชาการ ตั้งแต่เศษหินเศษทราย เขาเอามาผสมกัน เขาเทเขาฉาบของเขาขึ้นมา

ความเป็นไปของจิตในการประพฤติปฏิบัติ คำว่าเรียบง่ายๆ มันเรียบง่ายนะ พระพุทธเจ้าสอนให้เรียบง่ายจากภายนอกเพราะอะไร เพราะนิ้วมือของคนไม่เท่ากัน รูปร่างร่างกาย จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน สิ่งที่จะเอาสูตรตายตัวมันไม่มีหรอก ความว่าเรียบง่ายนี่เรียบง่ายจากศีลธรรมจริยธรรม ประเพณี แต่มันต้องมีความเข้มแข็งนะ มันต้องมีสติ มันต้องมีปัญญา มันต้องมีการกระทำของมันเข้ามาจากภายใน ถ้าการกระทำจากภายในขึ้นมา สิ่งที่เราจะกระทำขึ้นมาเราจะมีความเข้มแข็งขนาดไหน

ดูสิในปัจจุบัน เห็นไหม นี่เวลาเขาไปทรงเจ้าเข้าผีกัน เขาเป่ากระหม่อมกัน เขาโอ้โลมปฏิโลมกัน มันก็สะดวกสบาย นี่ไงมันถึงว่ากระต๊อบห้อมหอ วัสดุธรรมชาติที่เขาเอามาสร้างเป็นบ้านพัก เอามาสร้างที่อยู่อาศัย ทำได้ทั้งนั้นแหละ โลกมันเป็นอย่างนี้ไง ถ้าเรียบง่ายของโลกว่าเวลากำหนดแล้วมันสบายๆ ความเรียบง่าย.. เราจะไม่มีจุดยืนอะไรกันเลยเหรอ เราจะไม่มีเหตุผลความเป็นจริงในศาสนาพุทธนี้เหรอ

พุทธศาสนา เห็นไหม พุทธะ พุทโธ ! นี่พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันได้ตื่นขึ้นมาหรือยัง บอกว่าตื่นขึ้นมาก็ตื่นขึ้นมาแบบธรรมชาติไง ดูสิ พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก นี่ก็เหมือนกันเวลานิพพานก็หมายถึงว่าพระอาทิตย์มันขึ้นมา มีเมฆหมอกมันบังอยู่ พอเมฆหมอกมันกระจายไปมันก็เป็นนิพพาน อันนี้มันเป็นการเปรียบเทียบสอนเด็กๆ ไง ดูสิ ลูกเราเกิดมาให้นอนเปล ให้เล่นปลาตะเพียนเพื่อฝึกเชาว์ปัญญาของเขา

นี่ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเด็กอ่อน สอนบอกคนไม่รู้ประสีประสาไง ว่าเวลามันมืด เห็นไหม ดูสิ พระอาทิตย์ขึ้นมาเมฆหมอกมันบังอยู่มันก็มืดบอดของมัน เวลาเมฆหมอกมันเจือจางไปแล้ว พระอาทิตย์มันก็มีแสงสว่างของมัน มันส่องโลกมาให้ความสุขกับทุกๆ คนเหมือนกัน นี่จิตของผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว คนที่ไม่มีกิเลสในหัวใจมันเป็นสภาวธรรม มันเห็นแล้วมันสลดสังเวชนะ

ธรรมสังเวช ! เวลาสภาวธรรมมันสะเทือนใจ ครูบาอาจารย์ของเราธรรมะสะเทือนใจนี่มันสะเทือนหัวใจมาก แล้วบอกเขาได้ไหม มันเหมือนผู้ใหญ่คุยกับเด็กเลย เด็กมันไม่รับรู้อะไรของมันหรอก ผู้ใหญ่พูดอย่างไรก็ได้แต่เด็กมันเข้าใจไหม เด็กไม่เข้าใจเลยเพราะว่าเด็กมันไม่มีวุฒิภาวะ มันไม่รู้สึกขึ้นมา.. เรียบง่ายไง เรียบง่ายของใคร

ถ้าคำว่าเรียบง่ายนะ เรียบง่ายประเพณีวัฒนธรรม แต่เราต้องมีจุดยืน ความจะเรียบง่ายถ้าจิตใจมันสิ้นกิเลสแล้วนี่ยิ่งกว่าเรียบง่ายอีก เพราะอะไร เพราะมันเป็นมารยาสาไถย เป็นมารยาภาพทั้งนั้นเลย อะไรเกิดขึ้นมาก็ชั่วคราวทั้งนั้นแหละ แต่มันเป็นมารยาสาไถย เห็นไหม นี่ถ้าเราทำมารยาสาไถย แล้วเรามีความรู้จริงของเราเราไม่ตามมารยาสาไถย แต่เราต้องเกิดนะ มันเป็นผลของวัฏฏะ

จิตมันต้องเกิด ปฏิสนธิจิตนี่บังคับมันไม่ได้หรอก มันทำไปตามแต่เวรแต่กรรม มันต้องเกิด ต้องเวียนตายเวียนเกิดเป็นธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของมันเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วปัจจุบันนี้มาเกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ สภาวะความเป็นจริงของหัวใจที่มันเกิดเวียนตายเวียนเกิด แล้วพุทธศาสนานี่เราอยู่กับโลกไง

จะบอกว่าเราเกิดมานี่เราอยู่กับโลก มันมีข้อเท็จจริง สิ่งที่พิสูจน์ได้โดยรูปธรรม แต่สิ่งที่เป็นนามธรรม พุทธศาสนานี่สอนเรื่องนามธรรม สอนเรื่องความสัมผัสของใจ ใจเข้าไปสัมผัสสัจจะความจริงอันนี้.. เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นไหม มีกายกับใจ มีทั้งวัตถุด้วย มีเรื่องของร่างกายและมีทั้งนามธรรมด้วย มีเรื่องจิตใจด้วย แต่นามธรรมมันสำคัญมาก สำคัญที่ว่ามันไม่มีสิ่งใดจับต้องมัน พอไม่มีสิ่งใดจับต้องมันเราต้องตั้งสติปัญญาของเราขึ้นมา เพื่อค้นคว้าของเราขึ้นมา

สิ่งที่ล่วงไปแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้ว สิ่งที่ยังไม่มาเป็นอนาคต แต่ปัจจุบันนี้ล่ะ ทุกคนเกิดมาปรารถนาความสุขทุกคน ทุกคนอยากได้คุณงามความดีทุกคน แต่คุณงามความดีของใครล่ะ ดีของโจรโจรมันก็ปล้นสิ ดีของบัณฑิตบัณฑิตก็เสียสละ

“กลิ่นของศีลหอมทวนลม” กลิ่นของคุณงามความดีมันหอมทวนลม กลิ่นของคุณงามความดี สิ่งนี้มันหอมทวนลม เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“อะทาสิ เม อะกาสิ เม ! เธออย่าเสียใจอย่าร้องไห้ สิ่งที่พลัดพรากจากเราไปแล้วให้ทำคุณงามความดีแล้วอุทิศส่วนกุศลนี้ถึงกัน”

นี่โทรจิต.. จิตกับจิตทุกคนปรารถนาความดีทั้งนั้นแหละ พูดถึงทำความดีแล้วความดีให้ใครก็ได้ เห็นไหม แก้ว แหวน เงิน ทอง ให้ใครใครก็เอา สิ่งที่สกปรกโสโครกเอาไปให้ใครก็ไม่มีใครเอาหรอก.. นี่บุญกุศล คุณงามความดี สิ่งที่ทำคุณงามความดีแล้วระลึกถึงกันด้วยคุณงามความดี

“คิดถึงพ่อพ่ออยู่กับเจ้า” นี่พระเจ้าตากพูดไว้แล้ว เห็นไหม คิดถึงพ่อ.. คิดถึงคืออะไร “คิดถึงพ่อพ่ออยู่กับเจ้า” คิดถึงนี่เราเกิดในวัฏฏะเรามีพ่อมีแม่ เราเกิดเราตายมา เวียนเกิดเวียนตายมาทุกภพทุกชาติ มันมีอยู่ในหัวใจนะ ความสัมผัสของใจมันมี สิ่งนี้เราทำบุญกุศลเราอุทิศส่วนกุศลถึงกัน อย่าคร่ำครวญ อย่าร้องไห้ อย่าอะไร เพราะอะไร เพราะมันเป็นความจริง

เพราะสัจธรรมมันเป็นอย่างนี้ ! โลกความจริงมันเป็นอย่างนี้ ! แล้วจะเอาความปลอม เอาความรู้สึกของเราไปขวางความจริง มันเป็นความจริงไปได้ไหม ความรู้สึกมันเป็นความจอมปลอมนะ เราต้องการสิ่งใดแล้วต้องอยู่กับเราตลอดไป ต้องอยู่กับเรายั่งยืนมั่นคง แล้วมันจะยั่งยืนมั่นคงได้ไหมล่ะ นี่เขาตายจากเราไปเราก็เสียใจ ถ้าเราตายจากเขาไปเขาจะเสียใจไหม เราก็ต้องตายเหมือนกัน เราตายจากเขาไปเขาก็เสียใจ สิ่งนี้มันเป็นความจริง เราต้องอยู่กับความจริง แล้วเราต้องเผชิญกับความจริง ถ้าเป็นความจริงมันเป็นสภาวะแบบนี้ !

เราทำคุณงามความดีของเราแล้วอุทิศส่วนกุศลถึงกัน นี่เป็นเรื่องของอามิส เป็นเรื่องของโลกนะ ถ้าทำความดีนี่ความดีถึงใคร ดูสิ เขาทำความดีอุทิศให้ในหลวงกัน ทั้งประเทศอุทิศให้ในหลวงหมดเลย แล้วเป็นความดีของใครล่ะ อุทิศให้ในหลวงนี่เราเคารพบูชา เห็นไหม เราเกิดในสังคม เราเกิดในผู้นำที่ดี เราเกิดในสังคมที่มีความร่มเย็นเป็นสุข

คิดถึงบุญกุศลนี่กตัญญูกตเวทีของผู้นำ ผู้ที่ดูแลปกครอง แต่คุณงามความดีที่เราอุทิศส่วนกุศลนี่มันก็เหมือนอุทิศไปถึงน้ำใจ แต่ความดีนั้นคือของเรา.. นี่เราทำความดีอุทิศให้ในหลวงแล้วใครเป็นคนทำล่ะ ทำความดี นี่ทุกคนทำความดีหมด ประเทศชาติจะมั่นคงไหม ประเทศชาติจะมีความร่มเย็นเป็นสุขไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราทำความดีของเรา เราอุทิศส่วนกุศลถึงญาติโกโหติกาของเรา เราอุทิศให้ท่านไปเพราะอะไร เพราะเราเกิดมาร่วมตระกูลร่วมสายเลือดกัน มันเป็นผลของวัฏฏะ เป็นผลของบุญกุศลที่มันเกิดมา แล้วในปัจจุบันนี้มันมีสิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือว่ารักษาใจของเรา สิ่งนี้มีคุณค่านะ

แก้ว แหวน เงิน ทอง เงินในเซฟมันไม่มีชีวิตหรอก เจ้าของมันเป็นประโยชน์ มันก็เอาสิ่งนั้นมาทำเป็นประโยชน์ ถ้าเจ้าของไม่ประโยชน์ มันเป็นโทษกับเรานะ โอ้โฮ.. เงินทองมีมันต้องดูแลรักษา เป็นทุกข์ไปหมดเลย นี่แก้ว แหวน เงิน ทอง มันไม่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตคือหัวใจ คือสิ่งปฏิสนธิจิต

หัวใจต้องการคุณงามความดีนะ แต่นี้ความเข้าใจผิดของใจเองว่าอะไรคือความดี ดีของใจมันไม่เข้าใจว่าดีแท้หรือดีเทียม.. ดีเทียม เห็นไหม คนเทียมมิตร มิตรเทียมนี่มันปอกลอก มันเอาประโยชน์กับมัน มิตรแท้นี่เราผิดพลาดไปมันปกป้อง มันดูแลนะ มิตรแท้เขาจะดูแลเรา แล้วมิตรแท้มันอยู่ที่ไหนล่ะ.. ธรรมะบัณฑิต เห็นไหม คบบัณฑิตคือคบสัจธรรม

สัจธรรมมันอยู่ที่ไหน สัจธรรมมันอยู่บนอากาศเหรอ พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกมันเป็นพลังงาน สัจธรรมคือความสัมผัสของใจไง.. ทุกข์ไหม ! ใจนี้ทุกข์ไหม แล้วใจที่มันมีความสุขนี่มันสุขไหม สัจธรรมนี้ใครเป็นคนรื้อค้นขึ้นมา นี่ศีล สมาธิ ปัญญามันอยู่ในตำรา แต่เรานั่งสมาธิขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดจากใจ

นี่ไงความจริง เนื้อหาสาระมันอยู่ที่นี่ ชื่อมันอยู่ในตำรา แต่เนื้อหาสาระมันอยู่ที่ใจ ถ้าใจมันสัมผัสขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับใคร มันเป็นประโยชน์กับปัจจัตตัง เห็นไหม เราเกิดมาในวัฏฏะ ยังต้องเกิดอีก ! ยังต้องเกิดต้องตายไปเรื่อยๆ ในเมื่อมีแรงขับอยู่มันจะไปของมันนะ แล้วมันสิ้นสุดที่ไหนล่ะ

เราเกิดมาในพุทธศาสนามันมีสิ่งใดกระทบกระเทือนนะ มีสิ่งใดที่มันทำให้เราตื่นตัวไง สิ่งต่างๆ เราจะประมาทกับชีวิตไหม ดูสิ ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างนี้แล้วเราจะประมาทไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน สั่งภิกษุไว้เป็นโอวาทคำสุดท้ายเลย

“ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ความประมาทเลินเล่อ พิจารณาสังขาร นี่สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง สังขารร่างกาย เห็นไหม สังขารมันมี ๒ ชนิด สังขารโง่ๆ สังขารคนไม่มีปัญญาก็สังขารร่างกายนี่ไงสังคมไทย แต่ทับศัพท์ว่าสังขารก็คือร่างกาย แต่ถ้าเป็นบาลี สังขารก็คือความคิด ความปรุง ความแต่ง มันก็เป็นขันธ์ ๕ คือความคิด คือจิตวิญญาณกับร่างกายเรานี่แหละ

เราพิจารณาของเราด้วยความไม่ประมาทเถิด มันต้องชราภาพ มันต้องคร่ำคร่าของมันไป แต่ก่อนที่จะชราภาพ ก่อนที่จะคร่ำคร่าขึ้นมาเราก็ใช้ชีวิตของเราขึ้นมาด้วยบุญกุศล ด้วยการกระทำคุณงามความดีของเราขึ้นมา นี่สิ่งที่ทำคุณงามความดีขึ้นมาก็ชีวิตนี้ดำรงชีวิตนี้มา แล้วจะมีสิ่งใดติดไม้ติดมือออกไป พอจิตนี้ออกจากร่างเหมือนเราออกจากบ้าน

บ้านคือร่างกายนี้ จิตใจอยู่อาศัยในบ้านนั้น แล้วจิตใจออกจากบ้านนี้ไป ในมือมีเสบียงสิ่งใดติดไม้ติดมือนั้นไปบ้าง ถ้าคุณงามความดีของเราถ้าเรามีเสบียง นี่เสบียงคือเราจับวัตถุ เราเห็นได้ เราจับได้ เรามีกระเป๋าสะพายไปเลย แต่บุญกุศลมันติดกับจิตไป จิตนี่วัตถุสิ่งของ แก้ว แหวน เงิน ทอง เราเตรียมเราเอาไปได้ แต่บุญกุศลที่มันติดกับใจไปนี่มันเตรียมไปอย่างไร ถ้าคนไม่เคยทำ คนไม่ได้ฝึกไว้เอาอะไรเตรียมไป แล้วเตรียมไปมันจะไปไหน เราจะออกเดินทางเรามีสัมภาระอะไรไปบ้าง

นี่เรื่องของโลกนะ ในเรื่องของอามิส ในเรื่องของวัฏฏะ แต่ในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันมีสติ มันมีสมาธิของมัน มีปัญญาของมัน.. มีปัญญาของมัน ! คนเรามีปัญญานะไปที่ไหนมันก็เอาตัวรอดได้ทั้งนั้นแหละ คนเราถ้าไม่มีปัญญานะ ไปที่ไหนมันก็ตายที่นั่นล่ะ นี่ไปอ้อนวอนไปขอเขา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน.. ปัญญาที่ชำระกิเลสนี่เป็นปัญญาที่เกิดจากภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากโลกุตตรธรรม

ดูความมหัศจรรย์ของจิตสิ ! ดูความมหัศจรรย์ของคุณธรรมสิ ! มันเกิดมาจากไหนล่ะ ไปค้นในตู้พระไตรปิฎก ค้นจนตายมันก็ไม่เจอ มันเจอแต่ชื่อมัน นั่งสมาธิขึ้นมา เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมามันเป็นความมหัศจรรย์ที่มันชำระกิเลส มันถอดถอนอุปาทานในหัวใจ

นี่ความมหัศจรรย์มันอยู่ที่นี่ เราเห็นคุณค่าชีวิตเราไหม เราเห็นคุณค่าชีวิตเราหรือยัง ถ้าเห็นคุณค่าชีวิตเราต้องตั้งสติของเรา แล้วเราเตือนตัวเรา เราควรทำประโยชน์อะไรกับเรา.. ทางโลกเขาก็ทำกันนะ มันต้องทำอย่างนี้แหละ คนเกิดมาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งดำรงชีวิตเป็นธรรมชาติธรรมดา ถ้าไม่มีรัฐบาลเขาออกเบี้ยคนชราให้นะ นี่รัฐบาลต้องดูแลเลย สิ่งที่มีชีวิตเขาต้องมีของเขา สิ่งปัจจัยเครื่องอาศัย แต่คุณธรรมในหัวใจเราล่ะ

เราเกิดมาทั้งชีวิตนี้เตือนสติสิ เตือนเราว่าควรจะมีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งที่หามาเป็นสมบัติสาธารณะ มันจะวางอยู่บนโลกนี้ แล้วเราต้องพลัดพรากจากมันไป ของทุกอย่างเป็นของสาธารณะ ใครมีสิทธิครอบครองชั่วคราว.. แต่คุณงามความดีในใจ สมบัติจริงๆ ของใจมันมีของมัน แล้วสมบัติที่เป็นความจริงที่ในหัวใจมันอยู่กับใจของมัน แล้วถ้ามันเป็นธรรมแท้ๆ มันเป็นคุณธรรมแท้ๆ มันเป็นอันเดียวกับใจ แล้วใจเป็นเจ้าของมันนี่มันจะมีความสุขขนาดไหน

เกิดจากไหนล่ะ เกิดจากว่าชีวิตทุกข์ๆ ยากๆ นี่ล่ะ เกิดจากการกระทำนี่ล่ะ ถึงบอกว่าเรียบง่ายๆ เรียบง่ายจากภายนอก แต่ถ้าความจริงจังนะเราเรียบง่ายของเรา นี่ทางจงกรมที่ไหนก็ได้ นั่งสมาธิที่ไหนก็ได้ บ้านเราก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ขึ้นมานี่พุทโธ พุทโธ พุทโธ ค้นหาตัวเองให้เจอ.. จะค้นหาตัวเองก็บอกทะเบียนบ้านไง อยู่ที่อำเภอ แต่ไอ้ตัวจริง ไอ้ความรู้สึกไม่เคยเห็นนะ พอเห็นตัวจริง อื้อฮือ ! ชีวิตเป็นอย่างนี้ จิตเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้

ทะเบียนบ้านมันเป็นระบบการปกครอง.. แต่ทะเบียนใจ บุญกุศล ทะเบียนความรู้สึกของเรา แล้วถ้าเป็นเอกเทศนี่เห็นไหม ภราดรภาพถ้ามันจับของมันได้มันพ้นไปจากวัฏฏะ มันพ้นออกไปไม่มีใครควบคุมมันได้เลย.. ชีวิตของเรา ดูสิ คนต้องมีทะเบียน ต้องมีต่างๆ แต่จิตนี้เวลามันพ้นไปแล้วมารหาไม่เจอ ทุกอย่างหาทะเบียนไม่ได้ มันอิสรภาพขนาดนั้น แล้วอิสรภาพนี่เราย้อนกลับมาดูพวกเราที่เกิดๆ ตายๆ กันอยู่นี้ เห็นไหม นี่เกิดๆ ตายๆ อยู่ในโลกนี้ นี่เวลาย้อนกลับมาดูมันปลงธรรมสังเวชไง

ฉะนั้นมันมีสิทธิเหมือนกัน ว่านิพพานมีอยู่ในใจ ไม่มีหรอก มันมีสิทธิที่การกระทำ แล้วถ้าเรียบง่ายก็ต้องเรียบง่ายด้วยความเป็นจริง ให้มีข้อเท็จจริงกับเรา เพื่อประโยชน์กับชีวิต เอวัง